วันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ทุเรียน ลดสิวเสียน



ลดปัญหาสิวสาว

ส่วนผสม

1.เนื้อทุเรียนสุกพอห่าม(สุกไม่มาก)

2.ดินสอพอง


วิธีทำ


ใช้เนื้อทุเรียนสุกพอห่าม หรือจะเป็นเนื้อทุเรียนดิบ หั่นชิ้นเล็กๆ ประมาณ 3-5 ช้อนแกง (หรือกะเอาพอประมาณ) ปั่นรวมกับดินสอพอง 1/4 ช้อนแกง ปั่นให้เป็นเนื้อเนียนข้น


วิธีใช้

ใช้ทาทั่วผิวหน้า (เว้นรอบดวงตาและปาก) หรือบริเวณที่เป็นสิว ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด (ธาตุกำมะถันในทุเรียนจะช่วยให้เม็ดสิวแห้งเร็วได้)

มะเขือเทศ (Lycopersicon esculentum Mill.)


ในมะเขือเทศ จะมีสาร Curotenoid และมีวิตามินหลายชนิด น้ำจากผลมะเขือเทศสุก จะมีสาร licopersioin ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา และแบคทีเรีย และน้ำมะเขือเทศสด นำมาพอกหน้า จะรักษาสิวสมานผิวหน้าให้เต่งตึง หรืออาจจะฝานบางๆ แปะลงบนผิวหน้าก็ได้


สรรพคุณ สมานผิว ลดรอยเหี่ยวย่น จุดด่างดำ

ส่วนผสม มะเขือเทศ 1 ผล รำข้าวหรือข้าวโอ๊ต 1 ช้อนโต๊ะ


วิธีทำ นำมะเขือเทศไปปั่นหรือบดให้ละเอียด กรองเอาแต่น้ำผสมรำข้าวหรือข้าวโอ๊ตคนให้เข้ากัน


วิธีใช้ ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดหน้าให้แห้งพอกครีมมะเขือเทศทิ้งไว้นานเท่าที่มีเวลาแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ในมะเขือเทศมีวิตามินเอมาก ซึ่งเป็น วิตามินที่ละลายได้ดีในน้ำมัน การใช้รำข้าวหรือข้าวโอ๊ตเป็นส่วนผสม เพื่อให้น้ำมันในรำข้าวหรือข้าวโอ๊ตเป็นตัวพาวิตามินเอเข้าสู่เซลผิวหน้าได้ดีกว่า การฝานมะเขือเทศมาแปะหน้าเพียงอย่างเดียว สูตรนี้ใช้ได้ทั้งคนผิวแห้งและผิวมัน

วิตามินสูงจากแตงกวา (Cucumis sativas Linn.)


จะมีวิตามินสูง ในผลแตงกวายังมีเอ็นไซม์ cryssin ซึ่งช่วยย่อยโปรตีนได้ เอ็นไซม์ชนิดนี้ จะช่วยย่อยผิว

หนังที่หยาบกร้าน ให้หลุดออกไป เพื่อให้ผิวใหม่ที่อ่อนนุ่ม เกิดขึ้นมาแทนที่ บางคนใช้แตงกวาสด ผ่าเป็นชิ้นบางๆ วางบนใบหน้าที่ล้างสะอาด แทนน้ำแตงกวา ปัจจุบัน มีน้ำแตงกวาผสมในเครื่องสำอาง เช่น ครีมล้างหน้า ครีมทาตัว เพื่อช้วยให้ผิวไม่หยาบกร้าน และช่วยสมานผิว แตงกวาเป็นสมุนไพร ที่หาง่าย มีประโยชน์ ราคาถูก ใช้ติดต่อกับเป็นประจำ จะทำให้สวนสดชื่น มีน้ำมีนวล


สรรพคุณ สมานผิว ลบรอยเหี่ยวย่น

ส่วนผสม แตงกวา 1 ผล ไข่ขาวจากไข่ไก่ 1 ฟอง น้ำมะนาว 1 ช้อนชา


วิธีทำ ปอกเปลือกแตงกวาล้างน้ำให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ นำไปปั่นให้ละเอียด เติมไข่ขาวและน้ำมะนาวปั่นจนเป็นเนื้อเดียวกัน จะได้ครีมพอกหน้าแตงกวาวิธีใช้ ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดให้แห้ง ใช้ครีมแตงกวาพอกให้ทั่วหน้า ยกเว้นรอบปากและดวงตา ทิ้งไว้ 20 นาทีล้างออกด้วยน้ำสะอาด สูตรนี้เหมาะ กับคนผิวมัน สำหรับคนผิวแห้ง ให้นำแตงกวาไปตุ๋นจนเละแล้วกรองเอาเฉพาะน้ำมาทาหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

พริกน้อย

Pepper
Piper nigrum Linn.
PIPERACEAE

รูปลักษณะ
ไม้เถาเนื้อแข็ง รากฝอยออกบริเวณข้อ เพื่อใช้ยึดเกาะข้อโป่งนูน ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปไข่ กว้าง 5-8 ซม. ยาว 8-11 ซม. ดอกช่อ ออกที่ซอกใบ ดอกย่อยสมบูรณืเพศ สีขาวแกมเขียว ผลสด กลม จัดเรียงตัวแน่นอยู่บนแก้ม ผลอ่อนสีเขียว เมื่อสุกมีสีแดง

สรรพคุณและส่วนที่นำมาใช้เป็นยา

พริกไทยเป็นเครื่องเทศ ใช้แต่งกลิ่นรสและช่วยถนอมอาหาร
ผล - ใช้เป็นยาขับลม แก้อาการท้องอืดเฟ้อ บำรุงธาตุ เจริญอาหาร ขับเหงื่อ ขับปัสสาวะและกระตุ้นประสาท พบว่าผลมีน้ำมันหอมระเหยและแอลคาลอยด์ piperine

พริกไทยที่มีขายในท้องตลาดมี 2 ชนิด คือ

- พริกไทยดำ เป็นผลแก่แต่ยังไม่สุก นำมาตากแห้ง
- พริกไทยล่อน ได้จากผลสุกที่นำมาแช่น้ำ เพื่อลอกเปลือกชั้นนอกออก แล้วจึงตากให้แห้ง

สารพัดประโยชน์จาก...พริก

พริก...ช่วยบรรเทาอาการไข้หวัด ช่วยให้ระบบการหายใจสะดวกสบายยิ่งขึ้น สารแคปไซซินที่อยู่ในพริกมีคุณสมบัติช่วยลดน้ำมูกหรือลดปริมาณสารที่ขัดขวางระบบการหายใจ ในผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด ไซนัส หรือโรคภูมิแพ้ต่างๆ ช่วยบรรเทาอาการไอ สารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของตัวยาหลายๆ ชนิด นอกจากนั้นสารเบตาแคโรทีนในพริกช่วยป้องกันการติดเชื้อต่างๆ ในบริเวณเนื้อเยื่อบุผนังช่องปาก จมูก ลำคอ และปอด

พริก...ช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือด หรือการเสียชีวิตอันเนื่องมาจากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอุดตัน การบริโภคพริกเป็นประจำจะช่วยลดอัตราความเสี่ยงจากการอุดตันของเส้นเลือด นับเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคหัวใจล้มเหลว เนื่องจากพริกช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นและช่วยลดความดัน เพราะว่าในพริกมีสารจำพวกเบตาแคโรทีนและวิตามินซี ซึ่งช่วยเสริมสร้างผนังหลอดเลือดให้แข็งแรงเพิ่มการยืดตัวของผนังหลอดเลือด ทำให้ปรับตัวเข้ากับแรงดันระดับต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น

พริก...ช่วยลดปริมาณสารคอเลสเตอรอล สารแคปไซซินช่วยป้องกันมิให้ตับสร้างคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL-Low density lipoprotein) ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้มีการสร้างคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL-high density lipoprotein) มากขึ้น ทำให้ปริมาณของไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือดต่ำลง เป็นผลดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค

พริก...ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง เนื่องจากพริกเป็นพืชผักที่มีวิตามินซีสูง การบริโภคอาหารที่มีวิตามินซีมากๆ จะช่วยปกป้องการเกิดโรคมะเร็งได้ วิตามินซียับยั้งการสร้างไนโตรซามีนซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร วิตามินซีช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นส่วนประกอบของกระดูกอ่อน รวมถึงเป็นส่วนประกอบของผิวหนัง กล้ามเนื้อและปอด คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่สามารถหยุดการแพร่กระจายของเซลล์เนื้อร้ายได้

สารพัดประโยชน์จาก...พริก
พริก...ช่วยบรรเทาอาการไข้หวัด ช่วยให้ระบบการหายใจสะดวกสบายยิ่งขึ้น สารแคปไซซินที่อยู่ในพริกมีคุณสมบัติช่วยลดน้ำมูกหรือลดปริมาณสารที่ขัดขวางระบบการหายใจ ในผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด ไซนัส หรือโรคภูมิแพ้ต่างๆ ช่วยบรรเทาอาการไอ สารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของตัวยาหลายๆ ชนิด นอกจากนั้นสารเบตาแคโรทีนในพริกช่วยป้องกันการติดเชื้อต่างๆ ในบริเวณเนื้อเยื่อบุผนังช่องปาก จมูก ลำคอ และปอด

พริก...ช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือด หรือการเสียชีวิตอันเนื่องมาจากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอุดตัน การบริโภคพริกเป็นประจำจะช่วยลดอัตราความเสี่ยงจากการอุดตันของเส้นเลือด นับเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคหัวใจล้มเหลว เนื่องจากพริกช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นและช่วยลดความดัน เพราะว่าในพริกมีสารจำพวกเบตาแคโรทีนและวิตามินซี ซึ่งช่วยเสริมสร้างผนังหลอดเลือดให้แข็งแรงเพิ่มการยืดตัวของผนังหลอดเลือด ทำให้ปรับตัวเข้ากับแรงดันระดับต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น

พริก...ช่วยลดปริมาณสารคอเลสเตอรอล สารแคปไซซินช่วยป้องกันมิให้ตับสร้างคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL-Low density lipoprotein) ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้มีการสร้างคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL-high density lipoprotein) มากขึ้น ทำให้ปริมาณของไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือดต่ำลง เป็นผลดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค

พริก...ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง เนื่องจากพริกเป็นพืชผักที่มีวิตามินซีสูง การบริโภคอาหารที่มีวิตามินซีมากๆ จะช่วยปกป้องการเกิดโรคมะเร็งได้ วิตามินซียับยั้งการสร้างไนโตรซามีนซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร วิตามินซีช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นส่วนประกอบของกระดูกอ่อน รวมถึงเป็นส่วนประกอบของผิวหนัง กล้ามเนื้อและปอด คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่สามารถหยุดการแพร่กระจายของเซลล์เนื้อร้ายได้นอกจากนี้ วิตามินซียังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) คือสามารถยุติหรือขัดขวางบทบาทของอนุมูลอิสระ (free radicals) ที่จะก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์จนเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด สารเบตาแคโรทีนในพริกช่วยลดอัตราการเสี่ยงของโรคมะเร็งในปอด และในช่องปาก คนที่รับประทานผักที่มีสารเบตาแคโรทีนน้อย จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งมากกว่าคนที่รับประทานผักที่มีเบตาแคโรทีนสูงถึง 7 เท่าคุณสมบัติของสารเบตาแคโรทีนจะช่วยลดอัตราการกลายพันธุ์ของเซลล์และทำลายเซลล์มะเร็ง สำหรับพริกบางชนิดที่มีสีม่วงจะมีสารพวกแอนโทไซยานิน ซึ่งสารนี้มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ คือ สามารถทำลายอนุมูลอิสระได้เช่นกัน

พริก...ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด เช่น ลดอาการปวดฟัน บรรเทาอาการเจ็บคอ และการอักเสบของผิวหนัง เป็นต้น ในปัจจุบันมีการใช้สารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบของขี้ผึ้ง ใช้บรรเทาอาการปวดอันเนื่องมาจากผดผื่นคันและอาการผื่นแดงบริเวณผิวหนัง รวมทั้งอาการปวดที่เกิดจากเส้นเอ็น โรคเกาต์ หรือโรคข้อต่ออักเสบ เป็นต้น นอกจากนี้ผลการทดลองใหม่ๆยังบ่งชี้ว่าสารแคปไซซินช่วยลดอาการปวดศีรษะและไมเกรนลงได้

พริก...ช่วยเสริมสร้างสุขภาพและอารมณ์ดี เนื่องจากสารแคปไซซินมีส่วนในการส่งสัญญาณให้ต่อมใต้สมองสร้างสาร เอนดอร์ฟิน (endorphin มาจากคำว่า endogenous morphine) ขึ้น สารเอนดอร์ฟินเป็นเปปไทด์ขนาดเล็ก (โปรตีนสายสั้นๆ) มีคุณสมบัติคล้ายมอร์ฟีน คือ บรรเทาอาการเจ็บปวด ในขณะเดียวกันก็สร้างอารมณ์ให้ดีขึ้น ยิ่งรับประทานเข้าไปมากเท่าใด ร่างกายก็จะสร้างเอนดอร์ฟินขึ้นมามากขึ้นเท่านั้น ปกติร่างกายของคนเราจะสร้างสารเอนดอร์ฟินขึ้นภายหลังการออกกำลังกาย ดังนั้นการออกกำลังกายแม้จะทำให้ร่างกายเมื่อยล้า แต่ผู้ออกกำลังกายจะรู้สึกสดชื่นแจ่มใส

ถ้าต้องการบรรเทาความเผ็ดของอาหารในปากควรดื่มแอลกอฮอล์ หรือรับประทานอาหารที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบมากกว่าการดื่มน้ำ เพราะการดื่มน้ำมีผลเพียงช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนได้เท่านั้น แต่ความเผ็ดก็ยังไม่ได้ลดลง เนื่องจากว่า ‘น้ำ’ ละลายสารดังกล่าวได้ไม่ดี...นั่นเอง

Tips
เกณฑ์วัดระดับความเผ็ดร้อนสากลของพริกหรือผักผลไม้ที่มีสารแคปไซซินซึ่งให้ความเผ็ดร้อนนี้เรียกว่า สโกวิลล์ (Seoville) เป็นคำที่ตั้งขึ้นตามชื่อของผู้คิดค้นวิธีการวัดระดับนี้ ซึ่งก็คือ วิลเบอร์ ลินคอร์น สโกวิลล์ นักเคมีชาวอเมริกัน โดยเขาได้คิดค้นระดับวัดความเผ็ดนี้ขึ้นในปี ค.ศ. 1912 ขณะทำงานอยู่ที่บริษัทผลิตยา พาร์ก เดวิส เพื่อวัดความฉุนหรือความเผ็ดร้อนของพริกต่างชนิดกันสำหรับความเผ็ดที่วัดได้จากพริกขี้หนูสวนบ้านเรานั้นจะอยู่ที่ 50,000-100,000 สโกวิลล์ ในขณะที่สารแคปไซซินบริสุทธิ์นั้นมีค่าประมาณ 15,000,000-16,000,000 สโกวิลล์ ส่วนพริกที่ได้รับการบันทึกลงในกินเนสส์บุ๊กว่าเผ็ดที่สุดในโลกก็คือ พริกฮาบาเนโร จากเรด ซาบีนา วัดค่าได้ถึง 350,000-577,000 สโกวิลล์...เลยทีเดียว

วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

กล้วย


ชื่อสามัญ : BANANA

ส่วนที่ใช้เป็นยาผลกล้วยห่าม ฝานตากแดด ให้แห้ง บดเป็นผง จะใช้ กล้วยหักมุกห่ามแทน ยิ่งดี


ขนาดและวิธีใช้

ใช้ผล กล้วยห่าม 3 - 4 ช้อนชา หรือ 5 - 7 กรัม ผสมน้ำหรือน้ำผึ้ง หนึ่ง ถึง สอง ช้อนโต๊ะ ดื่มวันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหาร และ ก่อนนอนสรรพคุณ


- ใช้ป้องกัน บำบัด โรคแผล ใน กระเพาะอาหาร การที่ ผงกล้วยดิบ สามารถ ป้องกัน การเกิด แผลในกระเพาะอาหาร ได้ เพราะในกล้วย จะมีสาร ไปกระตุ้น ให้เซลล์ใน เยื่อบุกระเพาะ หลั่งสารMUCIN ออกมา ช่วยเคลือบกระเพาะ


- รักษา อาการ ท้องเสีย การที่กล้วยห่าม สามารถ แก้อาการ ท้องเสีย ได้ เพราะมี สารแทนนินข้อเสนอแนะรับประทาน กล้วยดิบ แล้ว ถ้ามีอาการ ท้องอืดเฟ้อ ป้องกัน โดยใช้ กล้วยดิบ ร่วมกับขิง หรือกระวาน

น้ำสำรอง ช่วยลดน้ำหนัก แก้ไอ

น้ำสำรอง ช่วยลดน้ำหนัก แก้ไอ
ช่วง 2-3 ปีมานี้ ลูกสำรองเป็นสมุนไพรไทยยอดฮิตติดอันดับท็อปเทน ถึงขนาดขาดตลาดเป็นบางคราว เพราะเคยมีใบสั่งซื้อจากประเทศจีนอย่างไม่อั้น ทุกวันนี้ลูกสำรองที่ขายอยู่ในท้องตลาดล้วนมาจากแหล่ง ธรรมชาติ ในประเทศไทยเองก็มีอยู่เพียงไม่กี่แห่ง ตามป่าดงดิบชื้นทางภาคตะวันออกแถบจังหวัดจันทบุรี ระยอง ตราด และเนื่องจากสำรองเป็นต้นไม้ป่าขนาดใหญ่ สูงถึง 45 เมตร


การเก็บลูกสำรองจึงเป็นไป ด้วยความยากลำบากมาก จะรอเก็บลูกสำรองที่เลื่อนโล้หล่นปลิวมาตามสายลมก็คงไม่ทันใช้ ชาวบ้านจึงมัก โค่นต้นเพื่อสะดวกในการเก็บลูกสำรองคราวละมากๆ ผลก็คือทำให้ต้นสำรองในป่าธรรมชาติถูกทำลายลง จนกลายเป็นพืชสมุนไพรหายากชนิดหนึ่งในปัจจุบัน


ลูกสำรองมีดีอะไร ทั้งไทยและเทศจึงไฝ่หากันนักหนา สำรองมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Scaphium macropodum Beaum. ชื่อเรียกตามพื้นบ้านที่รู้จักกันดี คือ พุงทะลายและท้ายเภา เป้นต้น ที่เรียกว่า พุงทะลาย ก็เพราะเปลือกบางๆที่หุ้มเมล็ดชั้นนอก มีสารเมือกจำนวนมาก เมื่อแช่น้ำจะพองตัวทะลักทลาย ออกมามากมาย มีลักษณะคล้ายวุ้น ส่วนคำว่า ท้ายเภา นั้นกล่อนมาจากคำว่า ท้ายสำเภา เพราะผลของสำรอง มีลักษณะแผ่เป็นแผ่นขนาดใหญ่( ซึ่งตรงกับความหมายในชื่อภาษาอังกฤษว่า macropodum นั้นเอง ) ซึ่งแตกตัวขณะยังอ่อนอยู่ และแตกด้านเดียวเป็นรูปโค้งคล้ายเรือสำเภา เมื่อเหล่าผลสำรองแก่ต้องลมพัดก็ปลิด ปลิวเลื่อนลอยกันไปเป็นพรวน เหมือนกลุ่มสำเภาน้อยล่องลอยตามสายลม


สำหรับสรรพคุณทางยาของสำรองนั้นไม่เป็นรองใครเหมือนชื่อ หมอไทยแต่โบราณรู้จักนำทุก ส่วนของสำรองมาใช้ทำยา ดังนี้

- ราก รสเฝื่อนเปรี้ยวเล็กน้อย แก้ไอ แก้ท้องเสีย รักษากามโรค แก้พยาธิผิวหนัง

- แก่นต้น รสเฝื่อน แก้โรคเรื้อน แก้กุฏฐัง แก้กามโรค

- ใบ รสเฝื่อน แก้พยาธิ แก้ลม

- ผลและเมล็ด รสฝาดสุขุม แก้ไข แก้ตานซาง ตานขโมยในเด็ก แก้ท้องเสีย แก้ลมพิษ แก้ลม แก้ธาตุพิการ

- เปลือกต้น รสเฝื่อน แก้ไข้ แก้ท้องเสีย จะเห็นได้ว่าสรรพคุณโดยรวมของต้นสำรอง คือ แก้ไอ แก้ไข้ และแก้ท้องเสีย ส่วนสรรพคุณแก้โรคเรื้อน กุฏฐัง โรคผิวหนัง และกามโรค ของรากและแก่นต้นสำรองนั้น น่าจะมีการศึกษาวิจัยในด้านการบรรเทาอาการโรค ผิวหนังในผู้ป่วยเอดส์ต่อไป อย่างไรก็ตาม ส่วนของสำรองที่นิยมใช้ประโยชน์กันในปัจจุบันคือ เมล็ดสำรอง โดยเฉพาะวุ้นที่ได้จากเปลือก หุ้มเมล็ดที่พองตัวเมื่อนำไปแช่น้ำ สรรพคุณของวุ้นสำรองและวิธีการใช้


- แก้เจ็บคอแก้ไข้ ใช้ลูกสำรองราว 10-20 ลูก ต้มกับชะเอมจีนพอหวานจนได้น้ำยาเข้มข้น จิบน้ำสำรองบ่อยๆ ช่วยแก้ไข้เจ็บคอดีนัก


- แก้ไอขับเสมหะ ใช้ลูกสำรองแค่ 3-5 ลูกก็พอ เพียงแช่ลงในน้ำสัก 1 แก้ว จนพองเป็นวุ้นออกมา เติมน้ำตาล กรวดลงไปเพื่อแต่งรสให้หวานตามใจชอบ ดื่มทั้งเนื้อวุ้นและน้ำครั้งละ 1 แก้ว วันละ 3 เวลาก่อนอาหาร ช่วงฝนตกทุกวันอย่างนี้ ไข้หวัดกำลังระบาดพร้อมกับอาการไอ เจ็บคอ มีเสมหะ จึงควรหาลูกสำรองมาประจำ บ้านไว้เพื่อทำเครื่องดื่มอุ่นๆ แก้ไข้ แก้ไอ ขับเสมหะ แก้เจ็บคอ เนื่องจากอาการหวัดในหน้าฝนกันเถอะ และใน บางวันที่อากาศร้อนก็สามารถเรียกหาน้ำสำรองดื่มแก้ร้อนใน กระหายน้ำ ช่วยให้ใจคอชุ่มชื่น กระปรี้ กระเปร่า ได้ ดีกว่าดื่มชาหรือกาแฟเป็นไหนๆ


- แก้ตาอักเสบ เนื่องจากวุ้นสำรองเป็นยาเย็นที่ไม่เป็นอันตรายต่อเยื่อบุอ่อนๆ จึงสามารถนำมาใช้รักษาตาอัก เสบได้ โดยนำผ้าก็อซชุบน้ำพอชุ่มชื้น แล้วนำไปวางทับบนตาที่อักเสบ จากนั้นจึงวางแผ่นเปลือกหุ้มเมล็ดลูก สำรองลงบนผ้าก็อซ เปลือกหุ้มเมล็ดนั้นจะพองตัวเป็นวุ้นแทรกซึมในผ้าก็อซ ช่วยบรรเทาอาการเจ็บตา ตาอัก เสบอย่างได้ผลมาแล้ว


- แก้โรคอ้วน สรรพคุณลูกสำรองที่น้องๆธิดาช้างทั้งหลายควรสนใจ เนื่องจากฤทธิ์ในการระบายของวุ้น สำรองก็ดี หรือ การพองตัวของวุ้นสำรองที่คล้ายกับบุกก็ดี ล้วนเป็นคุณสมบัติสำคัญ แบบทูอินวันของสมุนไพร ลดน้ำหนักอย่างลูกสำรอง ที่ควรจัดเป็นเมนูเครื่องดื่มประจำสำหรับสาวไดเอ็ททั้งหลาย ที่เจาะกลุ่มเป้าหมาย ไปที่สาวๆก็เพราะมีตัวเลขว่าคุณผู้หญิงเป็นโรคอ้วนมากกว่าคุณผู้ชายถึง 2 เท่า เดี๋ยวนี้ความอ้วนไม่ใช่ภาวะ ตุ้ยนุ้ยธรรมดาแล้ว แต่ในทางการแพทย์ถือว่าเป็นภาวะของโรคอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นสาเหตุไปสู้โรคอื่นๆอีกมาก มายที่ทำให้อายุสั้น เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน เป็นต้น น้ำสำรองจึงเป็นเครื่องดื่มสุขภาพอีกตัวหนึ่ง ซึ่งควรสำรองไว้เป็นทางเลือกสำหรับผู้รักสุขภาพทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม เวลานี้มีการนำวุ้นสำรองมาฟอกสีเพื่อผลิตรังนกเทียมส่งออกไปต่างประเทศ เช่น จีน และ ประเทศแถบตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนับสนุนสมุนไพรไทยโกอินเตอร์ แต่ที่น่าวิตก ก็คือ ลูกสำรองที่ ซื้อขายกันในท้องตลาด นับแต่อดีตจนปัจจุบัน พบว่าชาวบ้านยังใช้วิธีโค่นต้นสำรองเพื่อเก็บลูก ถ้าหากเป็น เช่นนี้ไม่นาน เราก็คงไม่เหลือลูกสำรองลูกสุดท้ายไว้ให้ลูกหลานได้ดู เวลานี้ทางจีนเองก็พยายามปลูกต้นสำรองไว้ เพื่อการค้าของตนเอง เพราะรู้ว่าสักวันหนึ่งแหล่งสำรองในไทย พม่า กัมพูชา และคาบสมุทรมาลายู คงจะสูญพันธุ์หาทำยายาก ดังนั้นพี่ไทยเองก็ไม่ควรประมาท ทั้งเกษตร ของภาครัฐและภาคประชาชนควารร่วมมือกันหาทางปลูกสำรองแบบไม้โตเร็ว เพื่อการค้าและยุติการทำลาย ต้นสำรองในป่าธรรมชาติ มิฉะนั้นแล้ว สมุนไพรที่มีวุ้นมหัศจรรย์ก็คงจะกลายเป็นเพียงตำนานสำหรับคนรุ่น หลัง และเมื่อถึงวันนั้นเราอาจจะต้องสั่งซื้อลูกสำรองจากประเทศจีนก็เป็นได้
ที่มา http://www.thaihof.org

วิจัย..สมุนไพรต้านมะเร็ง ในรูปแบบของอาหาร ประจำวัน

มะเร็ง คือ โรคร้าย...ที่คร่าชีวิตมนุษย์ได้ทุกชนชั้น แม้ว่าจะไม่ฉับพลันเหมือนอุบัติเหตุ แต่มันก็ร้ายกว่าคือสร้างความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน..




เพื่อบรรเทาต่อความเลวร้าย...คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จึงได้คิดค้นปัดฝุ่น เอาสมุนไพรไทยมาช่วยบำบัด คือทั้งให้เป็นโอสถสารและอาหารประจำวัน ทดแทนการบำบัดด้วยสารเคมีและการฉายรังสี... รศ.พรทิพย์ เชื้อมโนชาญ รองคณบดีเครือข่ายวิชาการ คณะเภสัชศาสตร์ พูดถึงความเป็นมาว่า....คณะเภสัชศาสตร์ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพ ของผู้ป่วยมะเร็ง ที่มีอาการข้างเคียงต่างๆ... ...จึงร่วมกับ มูลนิธิต่อต้านโรคมะเร็งภาคเหนือ คณะแพทยศาสตร์ จัดทำ “โครงการดูแลและให้ความรู้แก่ผู้ป่วยมะเร็งด้วยสมุนไพรไทย” ใน บ้านนันทราษฎร์ ซึ่งเป็นบ้านพักผู้ป่วยมะเร็ง โดยการทำสวนสมุนไพรในบริเวณบ้านพัก เพื่อเป็นแหล่งสมุนไพรให้ผู้ป่วยและญาติสามารถนำสมุนไพรไปใช้และให้ความรู้เกี่ยวกับ การลดอาการข้างเคียง กิจกรรมในการนำสมุนไพรมาใช้ในผู้ป่วยนั้น จักต้องให้ความรู้และความเข้าใจ แก่ผู้ป่วยและญาติไปพร้อมๆกัน...จึงจะได้บรรลุผลตาม ผศ.ดร.สุนีย์ จันทร์สกาว จาก ศูนย์วิจัยสมุนไพรภาคเหนือ บอกว่า การดูแลสุขภาพ ผู้ป่วยด้วยสมุนไพรและผักพื้นบ้าน เป็นการสร้างความสำคัญ ให้ผู้ป่วยมีสุขภาพแข็งแรงขึ้น เพื่อเพิ่มภูมิต้านทานและชะลอการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งและ...สมุนไพรกับผักพื้นบ้านนั้น ต้องไม่ส่งผลรบกวนต่อการรักษาด้วยวิธีต่างๆ ที่ผู้ป่วยมะเร็งได้รับ ไม่ว่าจะเป็นเคมีบำบัด หรือการฉายรังสีซึ่งมีสมุนไพรหลายชนิดที่สามารถลดอาการข้างเคียงของผู้ป่วยมะเร็ง ที่สำคัญสมุนไพรและผักพื้นบ้านของไทยหลายชนิดให้ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่ดี จึงเหมาะที่จะนำมาดูแลสุขภาพในรูปแบบของอาหาร
สมุนไพรที่พบว่าให้ผลในการรักษาและมีความปลอดภัยสูง มีหลายชนิด เช่น กระชาย และ ขิง ที่มีองค์ประกอบสำคัญคือ Volatile oil ประมาณ 0.08-2% ใช้บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ บรรเทาอาการคลื่นไส้ อาเจียน แก้ไอ ขับเสมหะ...
บอระเพ็ด ใช้เพื่อรักษาอาการเบื่ออาหาร ไพล มีองค์ประกอบสำคัญ คือ Volatile oil, curcumin และมีสารในกลุ่ม phenylbutanoids ที่ให้ฤทธิ์ต้านการอักเสบ ใช้บรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อาการเคล็ดขัดยอกฟกช้ำ
ฟ้าทะลายโจร ใช้รักษาอาการเบื่ออาหาร ข้อควรระวังในการใช้ คือ อาจเกิดอาการปวดท้อง ปวดเอว เวียนหัว ซึ่งนั่นแสดงว่าเกิดอาการ แพ้ยา...ควรหยุดยา โดยเปลี่ยนไปใช้ยาอื่น และไม่ควรรับประทานติดต่อกันนาน เพราะเป็นยาเย็น จะทำให้มือและเท้าชาอ่อนแรง... มะแว้งเครือ หรือ มะแว้งต้น ใช้แก้ไอ ขับเสมหะ
ผศ.ดร.สุนีย์ จันทร์สกาว ยังบอกต่ออีกว่า....ผู้ป่วยมะเร็งควรรับประทานผักพื้นบ้าน เช่น ผักที่มีแคลเซียมสูง ได้แก่ ใบชะพลู ผักแพว ใบยอ ผักกะเฉด ยอดแค สะเดา สะแล มะเขือพวง ขี้เหล็ก ใบเหลือง ผักแสว กระถิน ตำลึง ผักฮ้วน ผักที่มีเบต้าแคโรทีนสูง ได้แก่ ใบย่านาง ผักแพว ตำลึง ยอดแค ใบกะเพรา ผักแว่น ใบแมงลัก ชะอม ฟักทอง ผักที่มีธาตุเหล็กสูง ได้แก่ ผักกูด ขมิ้นขาว ผักแว่น ใบแมงลัก ใบกะเพรา ยอดมะกอก กระถิน ชะพลู ขี้เหล็ก ผักแขยง ผักที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ ดอกขี้เหล็ก ดอกและยอดผักฮ้วน มะรุม พริก ยอดสะเดา มะระขี้นก ผักหวาน ผักเชียงดา ผักขี้หูด ผักแพว รศ.พาณี ศิริสะอาด อาจารย์ผู้ร่วมโครงการ หนึ่งในทีมงานวิจัยสมุนไพรไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า....การนำพืชผักมาให้ผู้ป่วยรับประทานได้อย่างเหมาะสมกับสภาพร่างกาย ก็เป็นวิธีการหนึ่งที่ควรใส่ใจ โดยเฉพาะผู้ป่วยมะเร็ง มักมีร่างกายซูบผอม เนื่องจากมีความรู้สึกหดหู่ ขาดกำลังใจ มีอาการอ่อนเพลีย รับประทานอาหารไม่ได้หรือเบื่ออาหาร ....จึงต้องปรับวิธีการปรุงอาหาร ทั้งการให้ผักสดปั่น ผักต้มปั่นและธัญพืชปั่น ซึ่งมีพืชผักหลายชนิดที่นำมาปั่นได้ เช่น มะเขือเทศ มะนาว ผักกาดหอม เมล็ดถั่ว เป็นต้น ซึ่งการปั่นจะทำให้ไม่ต้องเคี้ยวนาน ลดภาระการย่อย ทำให้ดูดซึมได้เร็วได้รับทั้งสารอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระ และสรรพคุณด้านยา เมื่อผู้ป่วยมะเร็งแข็งแรงระดับหนึ่ง แล้วก็สามารถรับประทานอาหารพื้นบ้านรสไม่จัด ก็อยากจะแนะนำเสริมว่า ควรรับประทานอาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์ อย่างไรก็ตาม การใช้สมุนไพรและพืชผักพื้นบ้านเป็นทางเลือกเพื่อผู้ป่วยมะเร็ง ที่จะนำไปปรับใช้เพื่อลดอาการข้างเคียงและเสริมสร้างสุขภาพ ทั้งตัวผู้ป่วย ญาติหรือผู้ดูแล ซึ่งต้องมีความรู้ความเข้าใจเป็นสำคัญ... และที่ขาดไม่ได้คือ การให้ความรัก เอาใจใส่ ทำให้ มีกำลังใจ และ มีความสุข...ก็จะสามารถ ต่อสู้โรคร้าย ให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกอย่างยาวนาน

ว่านหางจระเข้ ปรนนิบัติผิวสวยด้วยคุณค่าจากธรรมชาติ


กระแสความงามที่หนุ่มสาวสมัยใหม่ในสังคมต่างเรียกร้องโหยหาความงามของตนเอง ภายใต้หน้ากากที่ห่อหุ้มจากมลภาวะในสังคม จุดนี้เองจึงเกิดกระแสสร้างความงามด้วยเคมีขึ้น เมื่อวิเคราะห์ถึงความคุ้มค่าทางด้านราคาและความปลอดภัยแล้วทางเคมีแล้ว กลับมีผลเสียมากกว่าผลดีที่ได้ จึงทำให้หลายฝ่ายต่างหวนหาและย้อนกลับมาใช้ความคุ้มค่าจากสมุนไพรมากกว่าสารเคมีจอมปลอม


ด้วยความคุ้มค่าของสมุนไพรอย่างว่านหางจระเข้ จากภูมิปัญญาชาวบ้าน “ยาทา” บาดแผล เช่น แผลไฟไหม้หรือรอยขีดข่วน ตัดว่านหางจระเข้จะมีเมือกเหนียวๆ มีคุณสมบัติโปรงแสง เมื่อนำว่านหางจระเข้ปิดไว้ที่บาดแผล จะป้องกันเชื้อโรคไม่ให้เข้าไป และไม่ให้อาการรุนแรงมากขึ้น ลดการติดเชื้อ สลายพิษของเชื้อโรค มีส่วนช่วยบำรุงผิว บำรุงเส้นผมได้ดีอีกด้วยเหตุนี้ทางเมดิแคร์คลินิกเล็งเห็นความสำคัญของการใช้สมุนไพรอย่าง “ว่านหางจระเข้” จึงได้คิดค้นเวชสำอางหลายชนิดที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติด้าน พ.ท.นพ.วิษณุ ประเสริฐสม ประธานกรรมการบริหารคลินิกเวชกรรมเมดิแคร์ กล่าวว่าคุณค่าของว่านหางจระเข้มีมากมาย นอกจากใช้รักษาโรคแล้ว ยังใช้บำรุงผิว บำรุงเส้นผมได้ด้วย จะเห็นได้เวชสำอางค์หลายชนิดของเมดิแคร์ ใช้สมุนไพรและว่านหางจระเข้เป็นส่วนประกอบ และกำลังเป็นที่นิยมของคนทั่วไป เนื่องจากว่านหางจระเข้ มีคุณสมบัติสามารถช่วยให้กระบวนการเมตะโบลิซึม ทำงานได้เป็นปกติ ลดการติดเชื้อ สลายพิษของเชื้อโรค กระตุ้นการเกิดใหม่ ของเนื้อเยื่อส่วนที่ชำรุด ฉะนั้น ว่านหางจระเข้จึงถูกนำมาใช้ เพื่อบำรุงผิวพรรณ ผู้ที่ใช้ว่านหางจระเข้บำรุงผิวพรรณอยู่เป็นประจำ จะรู้สึกได้ชัดว่าว่านหางจระเข้มีส่วนช่วย ให้ผิวพรรณผุดผ่อง สดชื่น มีน้ำมีนวล และยังสามารถขจัดสิว ใช้ว่านหางจระเข้ทาบริเวณหัวสิว จะทำให้หัวสิวแห้งเร็ว และลบรอยจุดด่างดำได้ด้วย


โดย ส่วนที่นำมาใช้มี 2 ส่วน คือ

ส่วนที่ 1. ยางจากใบ โดยการทำให้แห้งเป็นก้อน เรียกว่า ยาดำ นำมาใช้เป็นยาระบาย

ส่วนที่ 2. ส่วนที่เป็นวุ้น สารที่มีประโยชน์: สารอะโลอิน (aloin) และสารอื่นๆ มีฤทธิ์ยับยั้งเอ็นไซม์ ไทโรซิเนส (tyrosinase) ซึ่งอยู่ใต้ผิวหนัง


สรรพคุณทางยาส่วนที่เป็นวุ้น

1.ใช้เป็นยาฆ่าเชื้อ ช่วยสมานห้ามเลือด ระงับปวด

2.รักษาโรคผิวหนัง,แผลเรื้อรัง,เริม,งูสวัด

3.ลบรอยแผลเป็น, แก้ผื่นคันจากการแพ้สารต่างๆ

4. แก้ขี้เรื้อนกวาง,ผื่นปวดแสบปวดร้อน,แก้พิษแมลง,แมงกะพรุน,ใบตำแย

5.รักษาโรคกระเพาะอักเสบ,ท้องผูก,บำรุงร่างกาย,ขับพิษ

จากเอกสารทางประวัติศาสตร์ของอียิปต์ โรมัน กรีก แอลจีเรีย ตูนีเซีย อาหรับ อินเดียและจีน มีการรายงานใช้พืชนี้เป็นเครื่องสำอางและ ทั้งยา ในการรักษาแผลไฟลวก รักษาแผลทั่วไปและระงับความเจ็บปวด รวมทั้งรักษาโรคเรื้อนกวาง โรคนอนไม่หลับ กระเพาะอาหารทำงานไม่ปกติ ท้องผูก ริดสีดวงทวาร อาการคันที่ผิวหนัง ปวดหัว ผมร่วง โรคเหงือกและฟัน โรคไต ผิวหนังพอง ผิวถูกแดดเผา ผิวด่างดำ แผลมีดบาด ผื่นคัน สิว ผิวหนังเป็นด่างดำ ช่วยบำรุงผิวหนังในกรณีของโรคเรื้อน หรือแม้แต่พระนางคลีโอพัตราก็รักษาความงามและความมีเสน่ห์ของพระองค์ด้วยวุ้นของว่านหางจระเข้“ด้วยเหตุนี้ เมดิแคร์ จึงได้นำลักษณะคุณสมบัติเฉพาะของว่านหางจระเข้ ที่สามารถลดความแห้งกร้าน และลดความมันของผิวหน้าได้ โดยคนที่มีผิวมัน ก็จะช่วยให้ลดความมัน คนที่มีผิวหน้าแห้ง ก็ยังรักษาความชุ่มชื่นของผิวไว้ได้ บำรุงผิว ป้องกันฝ้า ลบรอยจุดด่างดำและช่วยรักษาสิวได้ มาเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเวชสำอางหลาย ๆ ชนิดของเมดิแคร์” พ.ท.นพ.วิษณุ กล่าว